ข้าวเกรียบกุ้ง
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
บทที่ 2
บทที่
2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการจัดทำรายงานเรื่อง
ข้าวเกรียบกุ้ง คณะผู้จัดทำได้มีการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับข้าวเกรียบกุ้งที่มีเนื้อหาในด้านต่างๆและได้ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้า
ดังนี้
1.ข้าวเกรียบ
ความหมายของคำว่า
“ข้าวเกรียบ” นี้
มีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอแนวความคิดซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ได้แก่ “ข้าวเกรียบ” หมายถึง ข้าวเกรียบ หมายถึง อาหารว่างชนิดหนึ่งเป็นขนมปังกรอบที่ทำจากแป้งและส่วนประกอบอาหารอื่นที่มักให้รสชาติ
พจนานุกรม
อ.เปลื้อง ณ.นคร
ให้ความหมายของคำว่า
“ข้าวเกรียบ” หมายถึง น. ของกินทำด้วยข้าวเป็นแผ่นๆ
มีหลายอย่าง เช่น ข้าวเกรียบว่าว ข้าวเกรียบงา ข้าวเกรียบอ่อน
พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า “ข้าวเกรียบ” หมายถึง น. ของกินทําด้วยแป้งข้าวเจ้าหรือแป้งข้าวเหนียว
เป็นแผ่นตากให้แห้ง แล้วปิ้งหรือทอด มีหลายชนิด เช่น ข้าวเกรียบว่าว ข้าวเกรียบงา ข้าวเกรียบกุ้ง.
พจนานุกรมแปล
ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายข้าวเกรียบไว้ว่า
“ข้าวเกรียบ” คือ
ของกินทำด้วยข้าวเป็นแผ่นๆ มีหลายอย่าง เช่น ข้าวเกรียบว่าว
ข้าวเกรียบงา ข้าวเกรียบอ่อน.
ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์
ให้ความหมายของคำว่า “ข้าวเกรียบ” หมายถึง
ข้าวเกรียบ หมายถึง อาหารว่างชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก อาจมีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ หรือผัก หรือผลไม้ เช่น ปลากุ้ง ฟักทอง เผือก งาดำ งาขาว บดผสมให้เข้ากับเครื่องปรุงรส
แล้วทำให้เป็นรูปทรงตามต้องการ นึ่งให้สุก ตัดให้เป็นแผ่นบางๆ
นำไปทำให้แห้งด้วยแสงแดดหรือวิธีอื่นที่เหมาะสมอาจทอดก่อนบรรจุหรือไม่ก็ได้
จากความหมายดังกล่าวสรุปได้
ข้าวเกรียบ หมายถึง น. ของกินทำด้วยข้าวเป็นแผ่นๆ มีหลายอย่าง เช่น ข้าวเกรียบว่าว ข้าวเกรียบงา ข้าวเกรียบอ่อน
2. กุ้ง
2.1 ความหมายของกุ้ง
ความหมายของคำว่า “กุ้ง” นี้
มีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอแนวความคิดซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ได้แก่ “กุ้ง” หมายถึงน.
สัตว์น้ำตัวยาวมีก้ามและตีนอยู่ที่ส่วนหัวมีหลายชนิด ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม เช่น กุ้ง ก้ามกราม กุ้งกระเตาะ กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งครูด กุ้งตะเข็บ กุ้งนาง กุ้งฝอย กุ้งหลวง เป็นต้น
พจนานุกรม
อ.เปลื้อง ณ.นคร
ให้ความหมายของคำว่า “กุ้ง” หมายถึง สัตว์น้ำตัวยาวมีก้ามและตีนอยู่ที่ส่วนหัวมีหลายชนิด
ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม เช่น กุ้ง ก้ามกราม กุ้งกระเตาะ กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งครูด กุ้งตะเข็บ กุ้งนาง กุ้งฝอย กุ้งหลวง กุ้งหัวแข็ง กุ้งหัวโขน กุ้งมังกร กุ้งแห.
พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า “กุ้ง” หมายถึง
น. ชื่อสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังในชั้น Crustacea อันดับ Decapoda มีหลายวงศ์ หายใจด้วยเหงือก
ลําตัวยาว แบนหรือกลม แบ่งเป็นปล้อง ๆ เปลือกที่หุ้มท่อนหัวและอกคลุมมาถึงอกปล้องที่
8 ส่วนใหญ่กรีมีลักษณะแบนข้าง ก้ามและขาอยู่ที่ส่วนหัวและอก มี 10 ขา
มีทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม มีหลายชนิด เช่น กุ้งก้ามกราม กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งตะกาด กุ้งตะเข็บ กุ้งนาง กุ้งฝอย กุ้งหลวง กุ้งหัวแข็ง กุ้งหัวโขน เป็นต้น
พจนานุกรมแปล
ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ให้ความหมายของคำว่า “กุ้ง” หมายถึง กุ้ง จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ชั้น Crustacea อันดับ Decapoda มีด้วยกันหลายวงศ์ กุ้งเป็นสัตว์น้ำ หายใจด้วยเหงือก ลำตัวยาว
แบนหรือกลม แบ่งเป็นปล้องๆ เปลือกที่หุ้มท่อนหัวและอกคลุมมาถึงอกปล้องที่ 8 ส่วนใหญ่กรีมีลักษณะแบนข้าง
ก้ามและขาอยู่ที่ส่วนหัวและอก มี 10 ขา มีทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม โดยปกติชอบหลบซ่อนตัวอยูเงียบ
ๆ ตามพื้นน้ำหรือในวอกมือด ๆ จะออกหากินในเวลากลางคืน
กุ้งกินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เช่น กิน กุ้งด้วยกันเอง ลูกปลา ไส้เดือน
สัตว์หน้าดินขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ข้าว เนื้อมะพร้าวตลอดจนซากสัตว์
สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งก้ามกราม กุ้งนาง กุ้งหลวง กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งตะกาด กุ้งตะเข็บ กุ้งฝอย กุ้งหัวแข็ง กุ้งหัวโขน กุ้งขาว กุ้งรู กุ้งหิน กุ้งดีดขัน กุ้งแชบ๊วย กุ้งเครย์ฟิช ส่วนประกอบของเปลือกกุ้งส่วนใหญ่เป็นไคติน รองลงมาก็เป็นจำพวกแร่ธาตุ โปรตีน ส่วนของไขมัน เป็นต้น
|
จากความหมายดังกล่าวสรุปได้
กุ้ง หมายถึง
เป็นสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
ลำตัวแบนข้างแนวสันหลังโค้งงอ และมีเปลือกซึ่งเป็นสารประกอบจำพวกไคติน มีลักษณะแบนข้างก้ามและขาอยู่ที่ส่วนหัวและอก
มี 10 ขา มีทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม มีหลายชนิด เช่น กุ้งนางตะกาด กุ้งตะเข็บ กุ้งฝอย กุ้งหลวง กุ้งหัวแข็ง กุ้งหัวโขน เป็นต้น
3. ลักษณะทางกายภาพและชีวภาคของกุ้ง
กุ้งเป็นสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ลำตัวแบนข้างแนวสันหลังโค้งงอ และมีเปลือกซึ่งเป็นสารประกอบจำพวกไคติน (chitin) ห่อหุ้มตัว สารประเภทนี้ กรอบและเปราะเปลือกหุ้มแยกเป็นสองตอน คือ ตอนหน้าหุ้มหัวและอก ซึ่งรวมเป็นส่วนเดียวกันโดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า "หัว" ลำตัวเป็นข้อปล้องอยู่ถัดไปจากหัว ร่างกายของกุ้งแบ่งเป็นปล้อง ๆ มีทั้งหมด 19 ปล้อง แบ่งออกเป็นส่วนหัว 5 ปล้อง ส่วนอก 8 ปล้อง และส่วนท้อง 6ปล้อง แต่ละปล้องมีรยางค์ 1 คู่ นัยน์ตาของกุ้งเป็นตารวม นัยน์ตาแต่ละข้างประกอบด้วยแก้วตาประมาณ 2500 ชิ้น ก้านตาโยกคลอนได้ มีหนวด 2 คู่ หนวดคู่แรกแต่ละเส้นที่ปลายแยกออกเป็นหนวดเส้นเล็ก ๆ ข้างละหนึ่งคู่ คู่ที่สองค่อนข้างยาว หนวดทั้งสองคู่ทำหน้าที่รับความรู้สึก มีรยางค์ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกินอาหารอยู่บริเวณหัว 6 คู่ ส่วนของรยางค์ที่อยู่ที่ปากกุ้ง เราจะพบเสมอเวลารับประทานกุ้ง คือ กรามของกุ้ง หรือที่เรียกกันว่า "สำเภากุ้ง" มีรูปร่างคล้ายเรือเป็นแผ่นแข็งสีขาวมีหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร กุ้งมีขา 5 คู่ ทำหน้าที่เป็นก้ามหนีบและขาเดินอยู่บริเวณส่วนอก ใต้ท้องมีรยางค์ว่ายน้ำอยู่ 5 คู่ รยางค์เหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่ในการว่ายน้ำแล้ว กุ้งตัวเมียยังใช้ทำหน้าที่ยึดเกาะไข่ซึ่งได้รับการผสมน้ำเชื้อตัวผู้ และเป็นที่ฟักไข่อีกด้วย ปล้องสุดท้ายเป็นส่วนของหางทำหน้าที่คล้ายหางเสือเรือ ประกอบด้วยแผ่นแบนอยู่ 2 ข้าง ปลายหางมีปลายแหลมและแข็ง เมื่อกุ้งว่ายน้ำไปข้างหน้าโดยใช้รยางค์ท้องและสามารถถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยการงอตัวทางส่วนท้าย และโดยวิธีนี้จึงสามารถกระโดดเหนือน้ำได้เมื่อตกใจ บางชนิดใช้แพนหางขุดทรายซ่อนตัว อวัยวะภายในของกุ้งส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณหัว ซึ่งประกอบด้วยหัวใจ อวัยวะย่อยอาหาร ระบบประสาท และอวัยวะสืบพันธุ์ หากเป็นกุ้งเพศผู้จะมีถุงอัณฑะอยู่คู่หนึ่งส่วนเพศเมียจะมีรังไข่ 1 คู่ ในฤดูผสมพันธุ์ รังไข่ทั้งคู่ของเพศเมียจะขยายใหญ่จนถุงทั้งสองเบียดกันสนิท ดูคล้ายเป็นก้อนเดียวกันภายในถุงนั้นจะมีไข่เป็นเม็ดเล็กบรรจุอยู่เต็ม ที่เราเรียกกันว่า "แก้วกุ้ง" อวัยวะย่อยอาหารของกุ้งซึ่งประกอบด้วยกระเพาะอาหารมีลักษณะเป็นถุง ถ้ามีอาหารอยู่ในกระเพาะจะเห็นเป็นสีดำ กระเพาะอาหารอยู่บริเวณอกถัดจากกระเพาะจะเป็นส่วนของลำไส้ทอดไปตามแนวสันหลัง และไปเปิดตางปลายสุดของรยางค์หางอันกลาง นอกจากกระเพาะอาหารแล้ว ก็ยังมีอวัยวะซึ่งทำหน้าที่ช่วยในการย่อยอาหาร อันได้แก่ ตับ และตับอ่อน หรือที่เราเรียกกันว่า "มันกุ้ง" มีลักษณะเป็นถุงอ่อนนุ่มสีเหลืองสด กุ้งหายใจด้วยเหงือก เหงือกอยู่ด้านข้างของกระดองหัวและเกาะติดรยางค์หัวตัวเหงือกเป็นเยื่อบาง ๆ ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น หล่อเลี้ยงด้วยเลือดซึ่งไม่มีสี เลือดกุ้งมีสารพวกฮีโมไซยานิน (haemocyanin) เป็นสารประกอบของทองแดง แต่เมื่อทิ้งเลือดของกุ้งไว้ให้ถูกอากาศภายนอกสักครู่ จะกลายเป็นสีฟ้า ลูกกุ้งวัยอ่อนบางชนิดหายใจได้ทางผิวหนัง กุ้งมีเพศแยกเป็นตัวผู้และตัวเมีย เมื่อตัวเมียลอกคราบและเจริญเต็มวัยแล้ว และหลังลอกคราบใหม่ ๆ ตัวผู้จะเข้าผสมพันธุ์โดยฝากน้ำเชื้อไว้กับตัวเมีย เมื่อไข่เจริญเต็มที่แล้วจะไหลผ่านออกจากรังไข่มาผสมกับน้ำเชื้อตัวผู้ที่ผากไว้ กุ้งน้ำจืดจะปล่อยไข่ออกมาเก็บไว้ที่หน้าท้องเป็นจำนวนมาก แต่กุ้งน้ำเค็มจะปล่อยไข่สู่ทะเล กุ้งจะวางไข่มากที่สุดช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน กุ้งในประเทศไทยสามารถวางไข่ได้ทุกฤดูกาลเพราะอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมเหมาะสมตลอดปี กุ้งเจริญเติบโตด้วยการลอกคราบ กุ้งในวัยอ่อนจะมีลักษณะตัวกลมแบน มีรยางค์ ๓ คู่ ต่อมาจึงเจริญวัยได้ด้วยการลอกคราบ การลอกคราบขึ้นอยู่กับการได้รับอาหารอย่างสมบูรณ์ และได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่นได้รับน้ำใหม่ หรือน้ำฝนมากระตุ้นในระยะที่กุ้งเริ่มลอกคราบใหม่ ๆ เปลือกภายนอกที่หุ้มตัวจะมีลักษณะนิ่ม แต่จะแข็งเหมือนเปลือกเดิมที่ได้ลอกทิ้งไป ภายในระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง การลอกคราบในวัยอ่อนลูกกุ้งจะลอกคราบได้วันละสองถึงสามครั้ง เมื่อเจริญเติบโตมากขึ้นการลอกคราบจะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ต่อครั้ง ลักษณะพิเศษของกุ้งนอกจากจะลอกคราบตัวเองและสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้แล้ว
กุ้งเป็นสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ลำตัวแบนข้างแนวสันหลังโค้งงอ และมีเปลือกซึ่งเป็นสารประกอบจำพวกไคติน (chitin) ห่อหุ้มตัว สารประเภทนี้ กรอบและเปราะเปลือกหุ้มแยกเป็นสองตอน คือ ตอนหน้าหุ้มหัวและอก ซึ่งรวมเป็นส่วนเดียวกันโดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า "หัว" ลำตัวเป็นข้อปล้องอยู่ถัดไปจากหัว ร่างกายของกุ้งแบ่งเป็นปล้อง ๆ มีทั้งหมด 19 ปล้อง แบ่งออกเป็นส่วนหัว 5 ปล้อง ส่วนอก 8 ปล้อง และส่วนท้อง 6ปล้อง แต่ละปล้องมีรยางค์ 1 คู่ นัยน์ตาของกุ้งเป็นตารวม นัยน์ตาแต่ละข้างประกอบด้วยแก้วตาประมาณ 2500 ชิ้น ก้านตาโยกคลอนได้ มีหนวด 2 คู่ หนวดคู่แรกแต่ละเส้นที่ปลายแยกออกเป็นหนวดเส้นเล็ก ๆ ข้างละหนึ่งคู่ คู่ที่สองค่อนข้างยาว หนวดทั้งสองคู่ทำหน้าที่รับความรู้สึก มีรยางค์ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกินอาหารอยู่บริเวณหัว 6 คู่ ส่วนของรยางค์ที่อยู่ที่ปากกุ้ง เราจะพบเสมอเวลารับประทานกุ้ง คือ กรามของกุ้ง หรือที่เรียกกันว่า "สำเภากุ้ง" มีรูปร่างคล้ายเรือเป็นแผ่นแข็งสีขาวมีหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร กุ้งมีขา 5 คู่ ทำหน้าที่เป็นก้ามหนีบและขาเดินอยู่บริเวณส่วนอก ใต้ท้องมีรยางค์ว่ายน้ำอยู่ 5 คู่ รยางค์เหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่ในการว่ายน้ำแล้ว กุ้งตัวเมียยังใช้ทำหน้าที่ยึดเกาะไข่ซึ่งได้รับการผสมน้ำเชื้อตัวผู้ และเป็นที่ฟักไข่อีกด้วย ปล้องสุดท้ายเป็นส่วนของหางทำหน้าที่คล้ายหางเสือเรือ ประกอบด้วยแผ่นแบนอยู่ 2 ข้าง ปลายหางมีปลายแหลมและแข็ง เมื่อกุ้งว่ายน้ำไปข้างหน้าโดยใช้รยางค์ท้องและสามารถถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยการงอตัวทางส่วนท้าย และโดยวิธีนี้จึงสามารถกระโดดเหนือน้ำได้เมื่อตกใจ บางชนิดใช้แพนหางขุดทรายซ่อนตัว อวัยวะภายในของกุ้งส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณหัว ซึ่งประกอบด้วยหัวใจ อวัยวะย่อยอาหาร ระบบประสาท และอวัยวะสืบพันธุ์ หากเป็นกุ้งเพศผู้จะมีถุงอัณฑะอยู่คู่หนึ่งส่วนเพศเมียจะมีรังไข่ 1 คู่ ในฤดูผสมพันธุ์ รังไข่ทั้งคู่ของเพศเมียจะขยายใหญ่จนถุงทั้งสองเบียดกันสนิท ดูคล้ายเป็นก้อนเดียวกันภายในถุงนั้นจะมีไข่เป็นเม็ดเล็กบรรจุอยู่เต็ม ที่เราเรียกกันว่า "แก้วกุ้ง" อวัยวะย่อยอาหารของกุ้งซึ่งประกอบด้วยกระเพาะอาหารมีลักษณะเป็นถุง ถ้ามีอาหารอยู่ในกระเพาะจะเห็นเป็นสีดำ กระเพาะอาหารอยู่บริเวณอกถัดจากกระเพาะจะเป็นส่วนของลำไส้ทอดไปตามแนวสันหลัง และไปเปิดตางปลายสุดของรยางค์หางอันกลาง นอกจากกระเพาะอาหารแล้ว ก็ยังมีอวัยวะซึ่งทำหน้าที่ช่วยในการย่อยอาหาร อันได้แก่ ตับ และตับอ่อน หรือที่เราเรียกกันว่า "มันกุ้ง" มีลักษณะเป็นถุงอ่อนนุ่มสีเหลืองสด กุ้งหายใจด้วยเหงือก เหงือกอยู่ด้านข้างของกระดองหัวและเกาะติดรยางค์หัวตัวเหงือกเป็นเยื่อบาง ๆ ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น หล่อเลี้ยงด้วยเลือดซึ่งไม่มีสี เลือดกุ้งมีสารพวกฮีโมไซยานิน (haemocyanin) เป็นสารประกอบของทองแดง แต่เมื่อทิ้งเลือดของกุ้งไว้ให้ถูกอากาศภายนอกสักครู่ จะกลายเป็นสีฟ้า ลูกกุ้งวัยอ่อนบางชนิดหายใจได้ทางผิวหนัง กุ้งมีเพศแยกเป็นตัวผู้และตัวเมีย เมื่อตัวเมียลอกคราบและเจริญเต็มวัยแล้ว และหลังลอกคราบใหม่ ๆ ตัวผู้จะเข้าผสมพันธุ์โดยฝากน้ำเชื้อไว้กับตัวเมีย เมื่อไข่เจริญเต็มที่แล้วจะไหลผ่านออกจากรังไข่มาผสมกับน้ำเชื้อตัวผู้ที่ผากไว้ กุ้งน้ำจืดจะปล่อยไข่ออกมาเก็บไว้ที่หน้าท้องเป็นจำนวนมาก แต่กุ้งน้ำเค็มจะปล่อยไข่สู่ทะเล กุ้งจะวางไข่มากที่สุดช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน กุ้งในประเทศไทยสามารถวางไข่ได้ทุกฤดูกาลเพราะอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมเหมาะสมตลอดปี กุ้งเจริญเติบโตด้วยการลอกคราบ กุ้งในวัยอ่อนจะมีลักษณะตัวกลมแบน มีรยางค์ ๓ คู่ ต่อมาจึงเจริญวัยได้ด้วยการลอกคราบ การลอกคราบขึ้นอยู่กับการได้รับอาหารอย่างสมบูรณ์ และได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่นได้รับน้ำใหม่ หรือน้ำฝนมากระตุ้นในระยะที่กุ้งเริ่มลอกคราบใหม่ ๆ เปลือกภายนอกที่หุ้มตัวจะมีลักษณะนิ่ม แต่จะแข็งเหมือนเปลือกเดิมที่ได้ลอกทิ้งไป ภายในระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง การลอกคราบในวัยอ่อนลูกกุ้งจะลอกคราบได้วันละสองถึงสามครั้ง เมื่อเจริญเติบโตมากขึ้นการลอกคราบจะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ต่อครั้ง ลักษณะพิเศษของกุ้งนอกจากจะลอกคราบตัวเองและสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้แล้ว
4.ข้าวเกรียบกุ้ง
4.1 ส่วนผสมของข้าวเกรียบกุ้ง
4.1.2 เนื้อกุ้งสด (ปอกเปลือกแล้ว)
1 ถ้วยตวง (2 ขีด)
4.1.2 กระเทียมโขลกละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
4.1.3 พริกไทยปน 1 ช้อนชา
4.1.4 เกลือปน
1 ช้อนชา
4.1.5 แป้งมัน ¾ ถ้วยตวง
4.2 วิธีการทำข้าวเกรียบกุ้ง
1. โขลกกุ้งให้ละเอียด ใส่กระเทียม
พริกไทย เกลือ โขลกให้เข้ากัน
2. ผสมกุ้งกับแป้งมันให้เข้ากัน
นวดให้นิ่ม ถ้าแช็งไปพรมน้ำเล็กน้อย ปั้นส่วยเป็นรูปกลมยาว
(ถ้าใส่น้ำมันมากตอนนวดเวลานึ่งสุกจะแบนไม่กลม)
3. ปูผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดในลังถึง
วางส่วนผสมที่ปั้นไว้ตรงกลางนึ่น้ำเดือด ไฟแรง ๓๐ นาที หรือจนสุก (ลักษณะแป้งใส)
4. ผึ่งส่วนผสมบนตะแกรงมีขาให้ถูกลมหลายๆ
ชั่วโมง จนสามารถหั่นได้ง่าย (ถ้าแห้งไป หั่นยาก และหั่นได้หนา)
5. หั่นด้วยมีดคมเป็นแว่นบางๆ
ตากแดดจนแห้งสนิท ประมาณ ๒-๓วัน
6.นำไปทอด รับประทาน
บทที่ 3
บทที่
3
วิธีการดำเนินงาน
วัน /เดือน / ปี
|
กิจกรรมที่ปฏิบัติ
|
14
พฤศจิกายน 2556 – 21พฤศจิกายน 2556
|
-
คิดหัวข้อ เสนอต่อหน้าครูประจำรายวิชา
-
นำหัวข้อคิดไว้มาเขียนเป็นองค์ความรู้
- ทำแผนผังความคิดในหัวข้อที่คิดไว้
พร้อมส่งครูประจำรายวิชา
-
ศึกษาหัวข้อย่อยจากภาคเรียนที่ 1 แล้วนำมาเขียนเป็นองค์ความรู้
-
ศึกษาหัวข้อสำคัญคำถามในประเด็นความรู้
หลักการและเหตุผล
วัตถุประสงค์ สมติฐาน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ขอบเขตของการดำเนินงาน และนิยามศัพท์เฉพาะ
|
22
พฤศจิกายน 2556 – 28 พฤศจิกายน 2556
|
-
พบคุณครูประจำวิชาเพื่อเสนอโครงร่างของการทำโครงงาน
-
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
-
ปรึกษาและขอคำแนะนำจากคุณครูประจำรายวิชา
|
28 พฤศจิกายน
2556 – 19 ธันวาคม 2556
|
-
ศึกษาหาความรู้จากแหล่งข้อมูล
บทที่ 1-3 (ในภาคเรียนที่ 1)
-
เขียนโครงร่างของการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ (บทที่ 1-3)
-
เขียนองค์ความรู้จากเนื้อหาที่ได้ค้นคว้ามา (บทที่ 1-3)
-
ส่งองค์ความรู้ (บทที่ ๑-๓) ต่อคุณครูประจำรายวิชา
และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากจากคุณครูประจำรายวิชา
|
20 ธันวาคม
2556 – 2 มกราคม 2557
|
-
ออกแบบเว็บบล็อก และหนังสือแมกกาซีน
- จัดทำเว็บบล็อก
จัดทำประวัติผู้ค้นคว้าองค์ความรู้
อัพเดทความคืบหน้าในระหว่างการดำเนินโครงงานลงในเว็บบล็อก
|
3
มกราคม 2557 – 16
มกราคม 2557
|
-
ศึกษาหาความรู้จากอินเทอร์เน็ต (บทที่ 4-5)
-
เขียนองค์ความรู้จากเนื้อหาที่ศึกษามา (บทที่ 4-5)
-
ส่งองค์ความรู้ (บทที่ 4-5) ต่อคุณครูประจำรายวิชา และ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากจากคุณครูประจำรายวิชา
|
17 มกราคม 2557 – 24 มกราคม 2557
|
-
จัดทำภาคผนวกประกอบการเขียนองค์ความรู้
-
ทดสอบและแก้ไขเว็บบล็อก
-
เพิ่มเติมข้อมูลต่างๆในเว็บบล็อก
|
25 มกราคม 2557 – 27 มกราคม 2557
|
-
จัดทำองค์ความรู้ แก้ไขและตรวจสอบข้อผิดพลาดของโครงงาน
|
5 กุมภาพันธ์ 2557
|
-
ส่งองค์ความรู้ฉบับสมบูรณ์
-
นำเสนอโครงงาน ณ ห้องประชุมคำแสด อาคาร 1 ชั้น 2 โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ อำเภอเมือง
จังหวัดสตูล
-
คุณครูประจำรายวิชาประเมินโครงงาน
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)